กล่าวคือหลังจากที่มีการใช้แนวทาง การบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ (New PA.) มาตั้งแต่ปี 1968 โดยประมาณ พบว่ามีผลทำให้ระบบราชการเติบใหญ่มากขึ้น เพราะจุดเน้นของ New PA คือการลงไปสร้างบริการสาธารณะให้กับประชาชนให้ทั่วถึงมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาหลายประการโดยเฉพาะความล่าช้าของการทำงานในระบบราชการ
ขณะเดียวกันในเวลานั้นสภาพของการแข่งขันระหว่างประเทศได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ขณะที่ระบบราชการยังเป็นระบบผูกขาดทำให้ขาดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากระบบราชการมีต้นทุนสูง ทำให้ภาพรวมในการบริหารงานอยู่ในลักษณะที่เรียกว่ามีประสิทธิภาพต่ำ ซึ่งต่างจากภาคเอกชนและประชาชนที่เวลานั้นมีความเติบโต แข็งแรงมากขึ้น
ทั้งหมดนี้กลายเป็นแรงผลักให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากแนวคิดแบบ New PA มาเป็น New PM ประมาณปี 1980 ซึ่งเป็นแนวคิดหลักที่นำมาใช้ในการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบัน รวมทั้งเป็นแนวทางในการปฏิรูประบบราชการของไทยด้วย
ทั้งนี้หลักการของ New Public Management ประกอบไปด้วย
1.การสร้างการบริการที่มีคุณภาพแก่ ประชาชน โดยภาครัฐจะต้องหันมาสร้างบริการที่รวดเร็ว โปร่งใส และสร้างความประทับใจให้กับประชาชนอันเป็นเสมือนลูกค้า
หลักการข้อนี้ถูกนำมาใช้กับประเทศไทยตั้งแต่ ปี 2532 โดยมีการประกาศใช้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้บริการของรัฐปี 2532 เช่นการกำหนดว่าในการขอรับบริการของประชาชนในเรื่องต่างๆจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน การจัดระบบคิวในการติดต่อราชการ การจัดระบบนัดล่วงหน้าเพื่อไม่ให้ประชาชนไปคอยเสียเวลาที่หน่วยราชการอีกต่อไป
เราจึงพบว่าในปัจจุบันข้าราชการให้บริการประชาชนด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใจมากขึ้น ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็วขึ้น สะดวกมากขึ้น เช่นสามารถทำบัตรประชาชนที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเดินทางกลับไปที่ภูมิลำเนา
2.สนับสนุนให้ลดการควบคุมจากส่วนกลางและเพิ่มอิสระในการบริหารงานให้แก่หน่วยงานมากขึ้น หรือเน้นการกระจายอำนาจ ผ่อนคลายกฎระเบียบให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
ดังเราจะพบว่าเวลานี้หน่วยงานระดับล่างของไทยมีอำนาจในการตัดสินใจมากขึ้น
3.New PM ให้ความสำคัญกับผลการปฏิบัติงาน หมายถึงเน้นการวัดผลการทำงานว่าประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน
แนวทางนี้ถูกนำมาใช้ในการบริหารระบบราชการไทยอย่างเข้มข้นมากขึ้น ดังจะพบว่าข้าราชการและหน่วยงานทุกหน่วยงานจะต้องจัดระบบประเมินผลงานของทั้งระดับบุคลและระดับหน่วยงาน มีการกำหนดตัวชี้วัดที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งมีการให้ผลตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานจากเดิมที่อาจจะให้ตามลำดับอาวุโสและอายุการทำงาน
นอกจากนี้ในประเทศไทยเรายังมีการปรับเปลี่ยนให้มีการพิจารณาความดีความชอบปีละ 2 ครั้ง มีการให้รางวัลในระดับองค์การ เช่นมีโบนัสหรือเงินเดือนเดือนที่ 13 สำหรับหน่วยงานที่มีผลงานดีเด่น มีการให้รางวัล Priministor Award เป็นต้น
4.การสร้างระบบสนับสนุนด้านการพัฒนาบุคลากรเพื่อให้บุคคลากรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา และยังสนับสนุนให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานมากขึ้น
หลักการในข้อนี้ก็ถูกนำมาใช้ในการบริหารระบบราชการไทยเช่นกัน เช่นมีการนำระบบสำนักงานอัตโนมัติ มีการทำบัตรประชาชนแบบใหม่ที่เรียกว่า Smart Card
5.การจัดการภาครัฐแนวใหม่สนับสนุนให้มีการเปิดกว้างในการแข่งขัน หลักการในข้อนี้เกิดจากการที่รัฐบาลมีภารกิจมากจนเกินไป เข้าไปมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจมากเกินไปและไม่มีประสิทธิภาพ New PM จึงเสนอว่ารัฐจะต้องยอมรับเรื่องของการแข่งขัน
การแข่งขันในที่นี้จะต้องมีความเสรี เป็นการแข่งขันที่จะให้เอกชนเข้ามาปฏิบัติงานในส่วนที่รัฐเคยทำและไม่มีประสิทธิภาพ เช่นการจ้างเหมา การให้เช่า หรือแม้กระทั้งการแปรรูป
การแข่งขันในส่วนนี้จะเป็นการแข่งขันระหว่างภาครัฐด้วยกัน หรือระหว่างรัฐกับเอกชนก็ได้
ในประเทศไทยหลักการข้อนี้ถูกนำมาใช้อย่างมากเช่นกัน เช่นการเปิดให้มีการแข่งขันในกิจการโทรศัพท์จากเดิมที่ผูกขาดด้วยหน่วยงานของรัฐ หรือในธุรกิจการบินที่เวลานี้มีสายการบินเพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนมีโอกาสเดินทางในราคาที่ถูกลง หรือในกิจการเกี่ยวกับการขนส่งเช่นการตรวจสภาพรถจากเดิมที่ผูกขาดด้วยสำนักงานขนส่งก็เปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งขัน
การที่มีการแข่งขันมากขึ้นทำให้ประชาชนมีทางเลือกในการใช้บริการในด้านต่างๆเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันประชาชนก็จะได้รับบริการในราคาที่ถูกลงและได้รับความพึงพอใจมากขึ้น
นั่นคือหลักการของ New PM ที่มีผลอย่างมากต่อการปรับเปลี่ยนการบริหารงานภาครัฐของไทยมาสู่การจัดการแบบใหม่ รวมทั้งการปฏิรูประบบราชการของไทยเองก็ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดดังกล่าวเช่นกัน
2.แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี (Good governance)
เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่มีอิทธิผลและมีบทบาทต่อการบริหารภาครัฐในปัจจุบัน รวมทั้งมีอิทธิพลต่อการปฏิรูประบบราชการของไทยด้วย
สำหรับหลักการของ Good governance นักวิชาการจะกำหนดไว้หลากหลายในที่นี้มองว่ามีหลักการที่สำคัญคือ
-ความโปร่งใส หมายถึงระบบราชการจะต้องทำงานอย่างโปร่งใส พร้อมให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา
-ความรับผิดชอบ หมายถึงในปัญหาใดๆที่เกิดขึ้นจะต้องมีผู้รับผิดชอบหรือมีเจ้าภาพทีชัดเจน
-การใช้หลักนิติธรรม หมายถึงการทำงานของระบบราชการจะต้องคำนึงถึงหลักกฎหมาย หลักการนี้จะทำให้ประชาชนได้รับความเสมอภาคจากการบริการของรัฐ
-ความมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน การทำงานของระบบราชการจะต้องคำนึงถึงผลของการทำงานให้บรรลุเป้าหมายและมีต้นทุนในการทำงานที่ต่ำที่สุดด้วย
เป้าประสงค์ในการพัฒนาระบบราชการไทย
ถ้าพิจารณาจากเป้าประสงค์หลักของการพัฒนาระบบราชการไทยก็จะพบว่ามีความสอดคล้องกับแนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่ กล่าวคือ
เป้าประสงค์แรก การพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชนที่ดีขึ้น
ในเรื่องนี้มีการกำหนดตัวชี้วัดต่างๆเช่น
1.ประชาชนร้อยละ 80 ต้องมีความพึงพอใจในการรับบริการ เวลานี้หน่วยราชการทุกหน่วยจึงต้องมีการสำรวจความพึงพอใจของประชาชน
2.ต้องลดระยะเวลาและขั้นตอนในการปฏิบัติให้ลดลงให้ได้ร้อยละ 50 ภายในปี 2550 (เช่นบริการที่เคยใช้เวลา 30 นาที่จะต้องลดให้เหลือ 15 นาที )
เป้าประสงค์ที่สอง คือการลดภารกิจและขนาดให้มีความเหมาะสมก็มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนเช่นกัน คือ
1.จะต้องลดภารกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลัก (Non Core Function) ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ภายในปี 2550 อาจจะทำโดยการถ่ายโอน การจ้างเหมา
2.หน่วยราชการไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 จะต้องทำตามเจตนารมณ์ตามมาตรา 3/1 ของ พรบ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน หรือตามพระราชกฤษฎีกาที่ประกาศใช้เมื่อปี 2546 ซึ่งมีการกำหนดตัวชี้วัดในการดำเนินงานของหน่วยงานอย่างชัดเจน
3.จะต้องมีการยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ไม่น้อยกว่า 100 ฉบับภายในปี 2550
4.จะต้องรักษาสัดส่วนเงินงบประมาณแผ่นดินต่อรายได้ประชาชาติไม่ให้เกินร้อยละ 18 ในช่วง 5 2546-2550
5.ลดจำนวนข้าราชการลงให้ได้ร้อยละ 10 ภายในปี 2550 พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพของกำลังคน (เวลานี้ข้าราชการพลเรือนมี 3 แสนกว่าคน การลด 10 % ถือว่าน้อยมาก)
เป้าประสงค์ที่สาม คือการยกระดับขีดความสามารถและมาตรฐานของการทำงานให้อยู่ในระดับสูงเทียบเท่าเกณฑ์สากล คือต้องปรับปรุงการทำงานให้ได้มาตรฐาน เช่นโรงพยาบาลก็จะมีมาตรฐานที่เรียกว่า HA
ข้าราชการจะต้องพัฒนาขีดความสามารถหรือพัฒนาสมรรถนะหลัก โดยหน่วยราชการร้อยละ 90 จะต้องได้รับการพัฒนาการให้บริการ หรือสามารถดำเนินการในรูปของรัฐบาลอีเล็กทรอนิกส์
เป้าประสงค์ที่สี่ ที่เน้นการเป็นรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตย จะเน้นเรื่องความโปร่งใส เวลานี้ทุกหน่วยราชการก็จะดำเนินการตามนโยบายประเทศไทยใสสะอาด ส่วนราชการจะต้องมีการดำเนินการที่จะให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมของหน่วยงาน มีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น
ปัญหาความขัดแย้งและข้อร้องเรียนระหว่างหน่วยงานกับประชาชนจะต้องเพิ่มขึ้นไม่เกินร้อยละ 20 ต่อปี (แต่เวลานี้คดีที่อยู่ในการพิจารณาของศาลปกครองมีจำนวนมาก) การมีคดีความมากๆสะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินงานของระบบราชการยังไม่มีความราบรื่น มีความขัดแย้ง
สรุป ทุกวันนี้การจัดการภาครัฐ จึงเป็นบริหารรัฐกิจยุคใหม่ ทั้งเรื่องของการบริหารงาน บริหารคน และบริหารเงินโดยมีลักษณะทีสำคัญคือ
-บริหารคนโดยยึดคนเป็นเป็นศูนย์กลาง พัฒนาคน ทั้งกาย จิตใจ สติปัญญา
-บริหารงาน โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม บริหารงานท่ามกลางเงื่อนไขที่ยืดหยุ่น บริหารงานในลักษณะงานเฉพาะกิจ การจัดองค์การต้องเป็นองค์การแบบ Organic ไม่ใช่ Mechanic
-บริหารเงิน โดยโปร่งใส กระจายอำนาจ
หรือการบริหารราชการทุกวันจะเป็นแบบ บริหารงาน บริหาร และบริหารเงิน ในเชิงคุณธรรม จริยธรรม แต่ ยังไม่ทิ้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ในการบริหารงาน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากแนวคิด New Public Management และ Good Governance นั่นเอง
ขอโทษนะครับ พอดีอยากทราบว่า แนวคิด New Public Administration ใครเป็นคนคิดค้นครับ ขอบคุณครับ
ตอบลบ