วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

การบริหารการพัฒนา

การบริหารการพัฒนา
มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ


1.การบริหารเพื่อการพัฒนา (Administration of Development : A of D)




2.การพัฒนาการบริหาร (Development of Administration : D of A)


 




กล่าวคือเพื่อให้โครงการพัฒนาประสบความสำเร็จ จะต้องมีการปรับปรุงระบบบริหารหรือการพัฒนาระบบบริหารของหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการพัฒนา
การพัฒนาระบบบริหาร จะทำใน 3 ส่วนคือ


-การพัฒนาโครงสร้างการบริหาร
-การพัฒนากระบวนการในการบริหาร
-การพัฒนาพฤติกรรมในการบริหาร


ทั้งนี้เพื่อให้หน่วยงานหรือองค์การที่ทำหน้าที่ในด้านการพัฒนา มีทั้งโครงสร้าง กระบวนการการบริหาร และมีพฤติกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการนำนโยบายการพัฒนาไปปฏิบัติ


ทั้งนี้การพัฒนาการบริหารอาจจะเรียกได้หลายอย่าง เช่น


-Administrative Reform การปฏิรูปทางการบริหาร
-Reorganization การจัดองค์การใหม่
-Organization Development การพัฒนาองค์การ
-Administrative Improvement การปรับปรุงการบริหาร
-Organization Improvement การปรับปรุงองค์การ
-Revitalization การพัฒนาตนเองใหม่




การบริหารเพื่อการพัฒนา (A of D) ประกอบด้วย


-การบริหารโครงการพัฒนา หมายถึงการแปลงนโยบายการพัฒนาออกมาเป็นโครงการและกิจกรรมการพัฒนาให้ชัดเจน


-การพัฒนาเศรษฐกิจ หมายถึงการเพิ่มรายได้ของประชาชนให้สูงขึ้น ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจจะต้องวางแผน ดำเนินการตามแผน และประเมินผล


-การพัฒนาการเมือง เพื่อให้ประชาชนมีความตระหนักในความสำคัญของชาติ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกิจการของบ้านเมือง


-การพัฒนาเมือง ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมต่างๆ จึงต้องทำให้เมืองมีความพร้อมในการรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม


-การพัฒนาชนบท เพื่อพัฒนาคนในชนบทให้หลุดพ้นจากความยากจน การไม่รู้หนังสือ และความเจ็บป่วย พัฒนาให้คนในชนบทพึ่งตนเองได้


-การพัฒนารัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เป็นเครื่องมือของภาครัฐในการสร้างบริการให้ประชาชน


-การพัฒนาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เน้นการพัฒนาที่ดีจากมิตรประเทศ องค์การระหว่างประเทศ


ความช่วยเหลือจากต่างประเทศอาจจะอยู่ในรูปของเงินกู้ เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่า




องค์ประกอบของการบริหารการพัฒนาจะเป็นไปตามรูป การพัฒนาประเทศ


การบริหารเพื่อการพัฒนา (A of d )


-การบริหารโครงการพัฒนา


-การพัฒนาเศรษฐกิจ


-การพัฒนาสังคม


-การพัฒนาทางการเมือง


-การพัฒนาเมือง


-การพัฒนาชนบท


-การพัฒนารัฐวิสาหกิจ


-การพัฒนาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ


การพัฒนาการบริหาร(D of A)


-โครงสร้าง


-กระบวนการ /เทคโนโลยี


-พฤติกรรม


การบริหารการพัฒนา ( DA)




สภาพแวดล้อมของการบริหารการพัฒนา


สิ่งสำคัญที่ต้องให้ความสนใจคือ ในการบริหารการพัฒนาจะมีสภาพแวดล้อมมาเกี่ยวข้อง และส่งผลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการพัฒนา


สิ่งแวดล้อมดังกล่าวได้แก่


1. สภาพแวดล้อมของการบริหารการพัฒนาจากภายนอกประเทศ ได้แก่


-ประชากร ดูจำนวน คุณภาพ การศึกษาของประชากร


-เทคโนโลยีทั้งทางกายภาพและชีวภาพที่มีอยู่ในนอกประเทศเพราะไม่นานจะถ่ายทอดมาสู่ประเทศเรา


-สิ่งประดิษฐ์คิดค้นทางสังคม เช่น การมีองค์การในรูปแบบใหม่ ๆ การสร้างกลุ่มสังคมกลุ่มใหม่ ๆ


-อุดมการณ์


2. สภาพแวดล้อมของการบริหารการพัฒนาจากภายในประเทศ ได้แก่ สภาพแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป้าหมาย


3. สภาพแวดล้อมของการบริหารการพัฒนาภายในองค์การ หมายถึง ปฏิกิริยาโต้ตอบหรือความขัดแย้งระหว่างองค์การกับบุคคลในองค์การ เช่น


-องค์การมีเป้าหมายอย่างหนึ่งแต่บุคคลในองค์การกลับมีเป้าหมายขัดกับเป้าหมายขององค์การ


-องค์การมอบหมายบทบาทที่ขัดกับบุคลิกภาพของผู้ปฏิบัติงานนั้น ๆ เช่น มอบหมายงานประชาสัมพันธ์ให้กับคนที่มีนิสัยชอบเก็บตัว


-ความขัดแย้งระหว่างความคาดหวังขององค์การกับความต้องการส่วนบุคคล องค์การมีความคาดหวังอย่างหนึ่งแต่คนกลับต้องการอีกอย่างหนึ่ง เช่น องค์การคาดหวังว่าจะมีความรับผิดชอบต่อสังคมแต่คนในองค์การกลับอยากได้ประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ จากสังคม
องค์การและการจัดการ (อ.รวิภา และ อาจารย์ชลิดาสอน)


องค์การ หมายถึง หน่วยในการบริหารงาน ที่จะทำหน้าที่ในการดำเนินงานให้ประสบความสำเร็จ และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในองค์การ ในองค์การจะต้องประกอบด้วย


-เป้าหมาย (Goal)


-บุคคลอย่างน้อย 2 คนที่มาทำงานร่วมกัน


-มีปฏิกริยาระหว่างกัน และมีรูปแบบแห่งความสัมพันธ์


การจัดการ หมายถึง ความพยายามร่วมกันของมนุษย์ในการจะทำงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และก่อให้เกิดความพอใจ ปัจจุบันวัตถุประของการบริหารยังรวมถึง ความยุติธรรม ความเสมอภาค และการคำนึงถึงสภาพแวดล้อมด้วย


พัฒนาการของทฤษฎีองค์การที่แบ่งเป็น 3 ยุค คือ (อาจารย์ววิภาแบ่งออกเป็นมุมมอง ออกเป็น 8 มุมมอง)


1.ยุคคลาสสิก


2.ยุคนีโอคลาสสิก


3.ยุคสมัยใหม่


1.ทฤษฎีองค์การในยุคคลาสสิก (Classical Organization Theory) เป็นยุคเริ่มต้นของการศึกษาองค์การ แนวคิดหลักของยุคนี้คือความพยายามในการแสวงหาหลักการทำงานและหลักการบริหารที่ดีที่สุด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหาร


ทฤษฎีสำคัญๆในยุคนี้ เช่น


-การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ของเฟดเดอริก ดับเบิลยู เทเลอร์


-หลักการบริหารของกุลลิค-เออร์วิค


-องค์การตามระบบราชการของแมกซ์ เวเบอร์


2.ทฤษฎีองค์การยุคนีโอคลาสสิก (Neoclassical Organization Theory) เป็นยุคที่นักวิชาการออกมาวิจารณ์แนวคิดในยุคแรก เนื่องจากแนวคิดยุคแรกให้ความสำคัญกับ หลักการทำงานและการการบริหารงานมากเกินไป โดยละเลยคนในองค์การ


ยุคนีโอคลาสสิกจึงเสนอว่า การจะให้องค์การมีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพจะต้องให้ความสำคัญกับคนในองค์การทั้งในเรื่องของจิตใจ ความต้องการ และพฤติกรรมของบุคคลและกลุ่มในองค์การ


ทฤษฎีองค์การในยุคนี้จะมีจุดหลักอยู่ที่นักทฤษฎีในกลุ่มมานุษยนิยม (Humanism) เช่น เอลตัน เมโย /อับราฮัม มาสโลว์ /เฮอร์เบิร์ต ไชม่อน/แมรี่ ปากเกอร์ ฟอลลเลต และคนอื่นๆอีกมาก


โดยทฤษฎีที่นำเสนอส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของคน


3.ทฤษฎีองค์การยุคใหม่ (Modern Organization Theory) เป็นแนวคิดที่มองว่าทฤษฎีใน 2 ยุคแรกเป็นการมององค์การในระบบปิด (Closed Perspective) คือไม่สนใจสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ


ทฤษฎีองค์การยุคใหม่มองว่าองค์การนั้นอยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมและสิ่งแวดล้อมมีผลอย่างยิ่งต่อองค์การและการบริหารงานในองค์การ ดังนั้นการศึกษาองค์การจึงควรศึกษาในระบบเปิด (Open Perspective)


ทฤษฎีองค์การในยุคใหม่เช่น


-ทฤษฎีการมององค์การเชิงระบบ (Systems Approach)


-ทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์ (Situation or Contingency Approach)


-ทฤษฎีองค์การที่เน้นการกระทำ (The Action Approach)


-มุมมองเชิงปริมาณ


-แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการและการสร้างความเป็นเลิศ


-การจัดการคุณภาพโดยรวม


ทฤษฎีองค์การยุคใหม่จะเน้นองค์การที่ไม่เป็นทางการ มีความยืดหยุ่นสูง ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็ว และเน้นการทำเทคนิคการบริหารสมัยใหม่มาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการ Balance Scorecard องค์การแห่งการเรียนรู้ Benchmarking การจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

my photo